ส่วนอัญมณีที่เป็นสีอื่นๆ ก็คิดว่าเป็นพวกพลอยสี (Colored Stone) ที่ไม่ใช่เพชร หากเป็นอัญมณีสีแดงก็มักเข้าใจว่าเป็นทับทิม (Ruby) ถ้าเป็นอัญมณีสีเหลืองก็คิดว่าเป็นบุษราคัม (Yellow Sapphire) และหากเป็นอัญมณีสีน้ำเงินก็เข้าใจว่าเป็นไพลิน (Blue Sapphire) เป็นต้น
ในความเป็นจริงแล้วอัญมณีสีขาวตามธรรมชาตินั้นมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ซึ่งถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง ต้องเรียกว่า “ไร้สี”(Colorless) ตัวอย่างเช่น แซปไฟร์ไร้สี (Colorless Sapphire), โทปาสไร้สี (Colorless Topaz) และเขี้ยวหนุมานไร้สี (Colorless Quartz) เป็นต้น
ซึ่งพ่อค้าบางคนจะเรียกเขี้ยวหนุมานไร้สีว่า “เพชรเขาพระงาม” เพราะมีลักษณะสีแบบไร้สีเช่นเดียวกับเพชร และมีการขุดพบเขี้ยวหนุมานไร้สีที่ตำบลเขาพระงาม จังหวัดลพบุรี จึงตั้งชื่อให้ใกล้เคียงกับเพชร
แต่หากพิจารณาดีๆ จะพบว่าปริมาณประกายหรือความระยิบระยับของอัญมณีแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกัน โดยหากนำอัญมณีเหล่านี้มาวางเปรียบเทียบกัน จะเห็นว่าเพชรมีความเป็นประกายระยิบระยับมากกว่าอัญมณีชนิดอื่นๆ
สำหรับเพชรสีนั้นก็จะมีอยู่ด้วยกันหลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาล สีเหลือง สีส้ม สีแดง สีฟ้า สีเทา หรือสีดำ แต่เนื่องจากเพชรสีมักจะปรากฎให้เห็นในตลาดได้ไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปริมาณเพชรไร้สีที่มีอยู่อย่างดาษดื่นในท้องตลาด เพชรสีจึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย หากแต่เป็นที่ต้องการของผู้นิยมการซื้ออัญมณีเพื่อการสะสมหรือเพื่อความแตกต่างและมักจะเรียกเพชรสีว่า “สีแฟนซี”
เหตุที่เพชรไร้สีได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วไปอย่างกว้างขวางก็เป็นเพราะเพชรไร้สีเป็นที่รู้จักของผู้คนมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลเกือบหนึ่งพันปี เพชรไร้สีสามารถพบเห็นได้ง่ายกว่าเพชรสีแฟนซี และมีการผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก มีสนับสนุนส่งเสริมการค้าขายกันอย่างเป็นระบบเพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีการจัดทำรายงานราคาซื้อขายในตลาดโลกเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการซื้อขาย อีกทั้งยังมีการจัดทำมาตรฐานระดับสีจากหลายองค์กรที่เกี่ยวข้องทั่วโลก เกิดความสะดวกคล่องตัวเพราะมีความเชื่อมั่นในคุณภาพ ส่งผลให้เกิดการซื้อขายที่เป็นธรรมทั้งต่อผู้ซื้อและผู้ขาย
การจัดทำมาตรฐานสีของเพชรไร้สีนั้นกระทำได้ง่ายกว่าเพชรสีแฟนซีมาก เนื่องจากเพชรสีแฟนซีมีสีที่มีความแตกต่างและหลากหลาย มีองค์ประกอบสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาจัดระบบหลายองค์ประกอบ และแต่ละองค์ประกอบก็ยากต่อการจัดให้เป็นมาตรฐาน
ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดค่ามาตรฐานของระดับความอ่อน – เข้มของสี (Tone) เช่น สีน้ำเงิน มีความเข้มตั้งแต่ฟ้าอ่อนจนถึงน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ การกำหนดค่าความกว้างของเฉดสี (Hue) เช่น สีแดงก็มีเฉดสีตั้งแต่แดงอมม่วง แดงอมชมพู แดงอมส้ม เป็นต้น อีกทั้งยังต้องกำหนดค่าความอิ่มตัว (ความสด) ของสี (Saturation) ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อนเป็นอย่างมาก
ในปัจจุบันแม้จะมีความพยายามในการจัดระดับมาตรฐานสีของเพชรสีแฟนซีขึ้น แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก เพราะวัตถุดิบที่จะนำมาจัดทำเป็นตัวอย่างมาตรฐานหาได้ค่อนข้างยากมาก และยังจะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ อีกมากมายทั้งทางวิชาการและทางการค้าเพื่อให้เกิดมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับของทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง
ในขณะนี้การประเมินคุณภาพเพชรสีแฟนซีจึงยังไม่สามารถกระทำได้อย่างครบถ้วน ยังไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนแน่นอน ส่งผลให้ความพยายามในการกำหนดราคามาตรฐานของเพชรสีแฟนซีไม่สามารถเป็นไปได้เช่นกัน ณ ปัจจุบันราคาของเพชรสีแฟนซีจึงขึ้นอยู่กับความพอใจของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเป็นประการสำคัญ
การเลือกซื้อเพชรสีแฟนซีที่มีคุณภาพจะต้องเน้นที่ความเข้มของสี ซึ่งควรจะมีความเข้มมาก แต่ต้องไม่ถึงกับมืดดำและควรมีความสดของสีที่ดี
กรณีเพชรสีน้ำตาล, น้ำตาลอมเหลือง, และน้ำตาลอมส้ม หรือที่ทางการค้าอาจจะเรียกว่าสีคอนยัค (Cognac), สีแชมเปญ (Champagne) นับเป็นเพชรสีที่มีมูลค่าน้อยกว่าเพชรสีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง, สีชมพู, สีน้ำเงิน หรือสีเขียว
ขณะที่การจัดระดับคุณภาพเพชรสีขาวนั้นได้มีการกำหนดออกมาเป็นมาตรฐานจนเป็นที่ยอมรับของผู้คนที่เกี่ยวข้องทั่วโลก แม้ว่าจะมีหลายองค์กรได้นำเสนอรูปแบบชื่อเรียกระดับคุณภาพสีที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่แตกต่างกันในแง่ของระบบการจัดคุณภาพ
ระบบการจัดระดับคุณภาพเพชรสีขาว (ไร้สี)
ระบบการจัดระดับคุณภาพเพชรสีขาวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้เป็นสีของสถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งอเมริกา (GIA – Gemological Institute of America) ซึ่งเป็นองค์กรด้านอัญมณีศาสตร์ ชั้นนำของโลก เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร และมีบทบาทสำคัญในการศึกษาค้นคว้าวิจัยศาสตร์ด้านอัญมณีเป็นอย่างมาก
GIA ได้สร้างระบบการเรียกชื่อระดับสีของเพชรไร้สีในรูปแบบที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและการจดจำ ทำให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลของอุตสาหกรรมการค้าเพชร
GIA ได้แบ่งระดับสีของเพชรไร้สีโดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นสัญลักษณ์ในการสื่อความหมาย
เริ่มจากคุณภาพสีที่ดีที่สุดคือไม่มีสี (Colorless) โดยใช้ตัวอักษร “D” ซึ่งนับว่าเป็นระดับสีที่มีคุณค่าสูงสุด เพราะไม่มีสีอื่นใดมาปนเปื้อนเลย
ระดับรองลงมาก็ใช้ตัวอักษร “E…F…G…” เพื่อสื่อถึงระดับสีที่เริ่มมีสีอื่นเข้าเจือปนจากที่มีสีออกเหลืองอ่อนมาก ๆ ระดับ “H” จนกระทั่งระดับสีออกเหลืองอ่อน (Pale Yellow) อย่างเห็นได้ชัดคือ อักษร “N”
และหากเป็นตัวอักษรถัดไปคือตัวอักษร “O” ถึง ตัวอักษร “Z” จะเห็นเป็นสีเหลืองนวลจนเป็นสีเหลือง
ตารางเปรียบเทียบระบบของ GIA กับความหมายที่เคยใช้ในตลาด
GIA Grades |
Traditional Terms |
Descriptive Terms |
Descriptive Terms |
D |
River |
Rarest White |
White |
E |
|||
F |
Top Wesselton |
Rare White |
|
G |
|||
H |
Wesselton |
White |
|
I |
Top Crystal |
Slightly Tinted White |
Slightly Tinted White |
J |
Crystal |
||
K |
Top Cape |
Tinted White |
Tinted White |
L |
|||
M |
Cape |
Slightly Yellowish |
Tinted Colour |
N |
|||
O |
Light Yellow |
Yellowish |
|
P |
|||
Q |
|||
R |
|||
S – Z |
Yellow |
Yellow |
ตารางเปรียบเทียบระดับสีของ GIA กับ HRD
Colour |
|
D |
exe. white+ |
E |
exe. white |
F |
rare white+ |
G |
rare white+ |
H |
white |
I |
slightly tined white |
J |
slightly tined white |
K |
tined white |
L |
tined white |
M |
tined colour |
N - O |
tined colour |
P - R |
tined colour |
S - Z |
tined colour |
แต่สำหรับคนไทยจะเรียกสีของเพชรว่า “น้ำ” ซึ่งบางครั้งบางคนก็ไปปะปนใช้กับความหมายเกี่ยวกับคุณภาพของความสะอาด อันเป็นปัจจัยที่สองในการประเมินคุณภาพว่าลักษณะเนื้อเพชรมีความใสสะอาด ไร้มลทินหรือตำหนิแปลกปลอมอยู่ภายในมากน้อยเพียงใด
ในที่นี้จะเทียบเคียงระดับสีเรียกของไทยกับระบบของ GIA ได้ดังนี้
น้ำ 100 เท่ากับอักษร D
น้ำ 99 เท่ากับอักษร E
น้ำ 98 เท่ากับอักษร F
น้ำ 97 เท่ากับอักษร G
น้ำ 96 เท่ากับอักษร H
น้ำ 95 เท่ากับอักษร I
ตารางเปรียบเทียบระบบของ GIA กับระบบของคนไทย
D |
E |
F |
G |
H |
I |
J |
K |
L |
M |
100 |
99 |
98 |
97 |
96 |
95 |
94 |
93 |
92 |
91 |